การควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยชีววิธีเป็นกรรมวิธีที่นำสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์
โดยนำเอาแมลงและสัตว์อื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติมาช่วยกำจัดแมลงศัตรูพืช
วิธีการนี้เป็นวิธีการดั้งเดิมซึ่งมนุษย์มีแนวความคิดที่จะใช้สิ่งที่มีประโยชน์ในธรรมชาติมาช่วยปราบแมลง
ความรู้เก่าแก่ที่สุดในการดำเนินงานเริ่มต้นขึ้นมาในประเทศจีน
โดยชาวจีนรู้จักนำเอามดตัวห้ำ (predatory ants) มาควบคุมแมลงบางชนิดในสวนส้ม
และความรู้ในเรื่องการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติมาควบคุมแมลงศัตรูพืชก็กว้างขวางออกไป
และนับวันจะมีบทบาทมากขึ้นเมื่อมนุษย์สามารถนำเอาสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ
มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น
ซึ่งเป็นการลดการใช้ยาฆ่าแมลงทำให้ผลเสียที่จะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้องลดน้อยลง
การควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธีจึงเป็นการใช้ประโยชน์ของศัตรูธรรมชาติที่สำคัญได้แก่
ตัวเบียน (parasites) ตัวห้ำ (predators) และเชื้อโรค (pathogens)
ในการที่จะรักษาระดับความหนาแน่นของประชากรของแมลงศัตรูพืชชนิดใดชนิดหนึ่งให้อยู่ต่ำกว่าระดับที่จะทำให้อยู่ต่ำกว่าระดับที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิต
ศัตรูธรรมชาติ
ศัตรูธรรมชาติของแมลงศัตรูพืชหมายถึง
สิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติและเป็นศัตรูของแมลงศัตรูพืช ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3
พวกใหญ่ ๆ คือ ตัวเบียน ตัวห้ำ และเชื้อโรค
ซึ่งในกลุ่มของตัวเบียนและตัวห้ำนั้นมีทั้งที่เป็นแมลงและไม่ใช่แมลง
แต่แมลงเป็นศัตรูพืชธรรมชาติที่สามารถนำมาพัฒนาเพื่อใช้ในการควบคุมแมลงศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และเกิดความสำเร็จในการควบคุมศัตรูพืชมานานแล้ว
แมลงเบียน (parasite) หมายถึง แมลงที่เบียดเบียนเหยื่อ (host)
หรือเกาะกินอยู่กับเหยื่อ จนกระทั่งเหยื่อตาย
และการเป็นตัวเบียนนั้นจะเป็นเฉพาะในช่วงที่เป็นตัวอ่อนเท่านั้น
เมื่อเป็นตัวเต็มวัยจะหากินอิสระ และในช่วงอายุหนึ่ง ๆ
ต้องการเหยื่อเพียงตัวเดียวเท่านั้น
ตัวเบียนหรือแมลงเบียนมีหลายประเภท ซึ่งถ้าแบ่งตามความสัมพันธ์กับเหยื่อ
จะแบ่งออกได้เป็นแมลงเบียนไข่ (egg-parasite) แมลงเบียนหนอน (larval parasite)
แมลงเบียนดักแด้ (pupal parasite) แมลงเบียนตัวเต็มวัย (adult parasite)
เป็นต้น ตัวอย่างของแมลงเบียน เช่น แตนเบียนไข่ หนอนกระทู้ผัก
และแตนเบียนหนอนเจาะลำต้นและยอดอ้อย
แตนเบียนไข่หนอนกระทู้ผัก Chelonus sp. ตัวหนอนของแตนเบียน
หนอนกระทู้ผักจะทำลายไข่ของหนอนกระทู้ผัก
โดยตัวเต็มวัยของแตนเบียนจะวางไข่ลงไปในไข่ของหนอนกระทู้ผัก (ดังภาพที่ 1)
ตัวหนอนแตนเบียนจะอาศัยอยู่ในไข่และหนอนกระทู้ผักจนเป็นตัวเต็มวัย
จึงออกมาภายนอก และวางไข่ทำลายไข่ของหนอนกระทู้ผักต่อไป
แตนเบียนหนอนเจาะลำต้นและยอดอ้อย Cotesia flavipes
แตนเบียนชนิดนี้ตัวเต็มวัยจะวางไข่ลงไปในตัวหนอนเจาะลำต้นและยอดอ้อย
ตัวหนอนของแตนเบียนจะอาศัยเกาะกินอยู่ภายในลำตัวหนอนเจาะลำต้นและยอดอ้อย
จนกระทั่งโตเต็มที่จะเจาะผนังหนอนเจาะลำต้นและยอดอ้อยออกมาเข้าดักแด้
และเป็นตัวเต็มวัยต่อไป วันที่หนอนของแตนเบียนเจาะออกมาจากลำตัว
หนอนเจาะลำต้นและยอดอ้อย (ดังภาพที่ 2) หนอนเจาะลำต้นและยอดอ้อยก็จะตายทันที
แตนเบียนชนิดนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการควบคุมหนอนเจาะลำต้นและยอดอ้อยอย่างมีประสิทธิภาพ
แมลงห้ำ (pradator) หมายถึง แมลงที่กินแมลงชนิดอื่น ๆ เป็นอาหาร
และการกินนั้นจะกินเหยื่อ (prey) หลายตัว กว่าจะเจริญเติบโตครบวงจรชีวิต
การกินจะกินเหยื่อไปเรื่อย ๆ
และมักจะไม่จำกัดวัยของเหยื่อคือสามารถทำลายเหยื่อได้ทุกระยะการเจริญเติบโต
ตัวห้ำที่เรารู้จักกันดีเช่น ด้วงเต่าชนิดต่าง ๆ (ภาพที่ 3) ตั๊กแตนตำข้าว
แมลงปอ มวนตัวห้ำ มวนเพชฌฆาต และมวนตัวห้ำเพลี้ยไฟ (ภาพที่ 4) เป็นต้น
เชื้อโรค (Insect pathogens) หมายถึง เชื้อโรคชนิดต่าง ๆ เช่น
เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้แมลงตายได้นั้น
สามารถนำมาพัฒนาเพื่อการควบคุมแมลงศัตรูพืชได้
ประเภทของการควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยชีววิธี
การควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธี อาจแบ่งออกตามลักษณะการกระทำคือ
1. การควบคุมโดยชีววิธีที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติ (Naturally-occurring
biological control) เป็นการควบคุมแมลงศัตรูพืชที่เกิดในธรรมชาติ ณ
แหล่งใดแหล่งหนึ่งโดยใช้ปัจจัยธรรมชาติ อันได้แก่ตัวห้ำ ตัวเบียน และเชื้อโรค
ที่มีอยู่ในแหล่งนั้นมาเพาะเลี้ยงเพิ่มปริมาณ
และนำมาควบคุมแมลงศัตรูพืชในแหล่งที่ศัตรูธรรมชาติเหล่านั้นอยู่
ซึ่งวิธีการนี้รวมไปถึงการจัดการหรือส่งเสริมให้ศัตรูธรรมชาติในแหล่งนั้นมีความสามารถมากขึ้นในการควบคุมแมลงศัตรูพืชในแหล่งเดิมนั้น
2. การควบคุมโดยชีววิธีแบบคลาสสิก (Classical biological control)
เป็นการควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยมีการนำเอาศัตรูธรรมชาติอันได้แก่ ตัวห้ำ ตัวเบียน
และเชื้อโรค จากแหล่งอื่น ๆ หรือจากประเทศหนึ่งไปใช้ในอีกประเทศหนึ่ง
โดยมากศัตรูธรรมชาติที่นำมาใช้กันได้ผลคือ
ศัตรูธรรมชาติที่มีอยู่ในแหล่งดั้งเดิมของแมลงศัตรูพืช หรือกล่าวโดยสรุป
การควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยวิธีการนี้จะมีขั้นตอนของการนำ (Introduction)
ศัตรูธรรมชาติจากแหล่งอื่น ๆ มาใช้ในอีกแหล่งหนึ่ง
3. การควบคุมโดยชีววิธีแบบประยุกต์ หรือแบบชั่วคราว (Contemporary
biological control) เป็นการควบคุมโดยชีววิธี โดยอาศัยเทคนิคต่าง ๆ เช่น
การทำให้แมลงเป็นหมันหรือการดัดแปลงลักษณะทางพันธุกรรมต่าง ๆ เป็นต้น
4. การควบคุมโดยชีววิธีแบบร่วมสมัย (Modern biological control)
เป็นการควบคุมแมลงโดยใช้สารเคมีต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ยาฆ่าแมลง
แต่มีผลหรือนำมาใช้ประโยชน์ในการควบคุมแมลงได้เช่น สารพวก hormone, pheromone
และสารอื่น ๆ

ภาพที่ 1 แตนเบียนไข่หนอนกระทู้ผักกำลังวางไข่ลงในไข่หนอนกระทู้ผัก

ภาพที่ 2
แตนเบียนของหนอนเจาะลำต้นและยอดอ้อยกำลังเจาะออกมาจากตัวหนอนเจาะลำต้นและยอดอ้อย

ภาพที่ 3 ด้วงเต่าตัวห้ำเป็นตัวห้ำกินเพลี้ยอ่อน เพลี้ยหอย เพลี้ยแป้ง
แมลงหวี่เป็นอาหาร

ภาพที่ 4 มวนตัวห้ำเพลี้ยไฟกำลังกินเพลี้ยไฟมะเขือ
การควบคุมแมลงโดยชีววิธีไม่ว่าจะเป็นแบบที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติหรือแบบคลาสสิก
หรืออื่น ๆ ก็ตาม จุดมุ่งหมายของการควบคุมคือ การลดความหนาแน่น
หรือระดับพลเมืองของศัตรูพืชให้อยู่ต่ำกว่าระดับเศรษฐกิจ หรือ sub-economic
level แต่จะไม่มุ่งในการกำจัดให้หมดสิ้นไป
เป็นการลดระดับสมดุลย์ทางธรรมชาติของศัตรูพืชนั้น ๆ
ที่เคยอยู่สูงกว่าระดับเศรษฐกิจให้ลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับเศรษฐกิจเท่านั้น
ขั้นตอนการดำเนินงานควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยชีววิธี
ในการดำเนินงานการควบคุมแมลงศัตรูผักโดยชีววิธีนั้น
มีขอบเขตหรือขั้นตอนในการดำเนินงานพอสรุปได้ดังนี้
1. การศึกษาเบื้องต้น (Basic study)
2. การนำเข้า (Introduction program)
3. การแผ่ขยายและเพิ่มพูน (Augmentation)
4. การอนุรักษ์ (Conservation)
5. การประเมินผล (Evaluation)
การศึกษาเบื้องต้น (Basic study)
การศึกษาเบื้องต้นจะเป็นการศึกษาเพื่อให้ทราบเรื่องราวทั่ว ๆ
ไปเกี่ยวกับแมลงศัตรูพืชที่จะดำเนินการควบคุมโดยชีววิธี
ซึ่งการศึกษาเกี่ยวกับแมลงศัตรูพืชนั้น
จะรวมไปถึงการศึกษาเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานทางด้านอนุกรมวิธาน (taxonomy)
ชีววิทยา(biology) อุปนิสัย (behavior) วิธีเพาะเลี้ยง (mass-rearing method)
และโภชนาการ (nutrition) ของแมลงศัตรูพืชนั้น ๆ
รวมไปถึงจะต้องศึกษาถึงแมลงศัตรูธรรมชาติของแมลงศัตรูพืชนั้นว่ามีอะไรบ้างที่สามารถจะนำมาใช้ประโยชน์ได้
ความปลอดภัยต่าง ๆ ในการใช้ศัตรูธรรมชาติชนิดนั้น ๆ
ก็จะได้รับการศึกษาโดยละเอียดเช่นกัน
เพื่อป้องกันมิให้เกิดสิ่งผันแปรทำให้เกิดโทษขึ้นมาภายหลังได้
และสิ่งสำคัญที่จะต้องมีการศึกษาให้ละเอียดคือ
เรื่องราวเกี่ยวกับแมลงศัตรูธรรมชาติที่จะนำมาใช้ถึงเรื่องนิเวศวิทยา (Ecology)
การเพาะเลี้ยง (Mass-rearing) และอาหารของแมลงศัตรูธรรมชาติที่จะนำมาใช้
เพื่อประโยชน์ในการเพาะเลี้ยงแมลงศัตรูธรรมชาติต่อไป
การนำศัตรูธรรมชาติเข้ามา (Introduction program)
เมื่อมีการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว
แมลงศัตรูพืชบางชนิดจะพบว่าเป็นแมลงที่ถูกนำเข้ามา หรือที่เรียกว่าแมลงต่างถิ่น
หรือแมลงต่างด้าว (Exotic pest) ซึ่งแมลงเหล่านี้มักจะสร้างปัญหาอย่างรุนแรงมาก
เนื่องจากขาดศัตรูธรรมชาติในแหล่งใหม่ที่เข้าไประบาด
ในกรณีเช่นนี้จึงเกิดความจำเป็นในการที่จะต้องนำแมลงศัตรูธรรมชาติจากแหล่งเดิมไปใช้ในแหล่งใหม่ที่แมลงศัตรูผักนั้นระบาด
การนำศัตรูธรรมชาติจากแหล่งหนึ่งเข้าไปใช้ในแหล่งที่มีการระบาดดังกล่าวแล้ว
เรียกการนำเข้ามา (Introduction) โครงการที่สำคัญ ๆ
และดำเนินการควบคุมโดยชีววิธีได้สำเร็จอย่างสมบูรณ์นั้น
มักจะมีการนำศัตรูธรรมชาติจากแหล่งอื่นมาใช้เสมอ เช่น การส่งตัวเบียน
Apanteies erionotae Wilkinson จากประเทศไทย ไปปราบหนอนม้วนใบกล้วย
Pelopidas thrax (L.) ในฮาวายจนประสบความสำเร็จ
การควบคุมโดยชีววิธีซึ่งมีการนำศัตรูธรรมชาติเข้ามาใช้คือ
การควบคุมโดยชีววิธีแบบคลาสสิก
การนำเข้า (Introduction)
จึงนับว่ามีความจำเป็นและสำคัญมากโดยเฉพาะแมลงศัตรูพืชที่มาจากแหล่งอื่น ๆ
แต่การที่จะนำเข้ามานั้นจะต้องมีความรู้อย่างเพียงพอจึงจะทำให้การนำเข้าประสบผลสำเร็จ
ดังนั้นในการที่จะนำแมลงศัตรูธรรมชาติเข้ามา
ควรที่จะมีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้
1.
ต้องการทราบถึงชนิดและประเภทของแมลงศัตรูธรรมชาติที่จะนำเข้าว่าเป็นแมลงชนิดใด
2. ต้องศึกษาถึงชีวประวัติ ลักษณะนิสัย
รวมไปถึงอาหารของแมลงศัตรูธรรมชาติชนิดนั้น ๆ
3.
ต้องทราบวิธีการเพาะเลี้ยงหรือวิธีการที่จะเพิ่มปริมาณของแมลงศัตรูธรรมชาติเหล่านั้นเป็นอย่างดี
และพร้อมที่จะดำเนินการทันทีที่แมลงศัตรูธรรมชาติถูกนำเข้ามาถึง
4.
ต้องทราบถึงลักษณะการขยายพันธุ์ของตัวเต็มวัยของแมลงศัตรูธรรมชาติที่นำเข้ามาว่ามีการขยายพันธุ์อย่างไร
เพื่อจะได้ดำเนินการให้ถูกต้อง
ความรู้เหล่านี้จะต้องมีอย่างเพียงพอ
เพื่อการเตรียมรับแมลงศัตรูธรรมชาติที่จะนำเข้ามา
เมื่อมีการนำเข้ามาแล้วขบวนการต่อไป
ต้องมีการเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการเพื่อเพิ่มปริมาณของแมลงศัตรูธรรมชาติให้มากที่สุด
เพื่อการปลดปล่อยออกไป
ซึ่งขบวนการหรือวิธีการเพาะเลี้ยงนั้นนับว่าต้องมีเทคนิคในการดำเนินงานมากมาย
เพื่อจะเพิ่มปริมาณของแมลงศัตรูธรรมชาติให้มากที่สุด
และเมื่อสามารถเพาะเลี้ยงแมลงศัตรูธรรมชาติได้มากแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญคือ
การปลดปล่อยแมลงศัตรูธรรมชาติ ซึ่งการปลดปล่อยแมลง (Release) นั้น
มีวิธีการปลดปล่อย 2 วิธีคือ
1. การปลดปล่อยแบบเพาะเลี้ยง (Inoculative Release)
2. การปลดปล่อยแบบท่วมท้น (Inundative Release)
การปลดปล่อยแบบเพาะเลี้ยง (Inoculative Release)
หมายถึงการปลดปล่อยแมลงศัตรูธรรมชาติทีละเล็กละน้อยตามจำนวนที่พอจะหาได้
วัตถุประสงค์เพื่อให้แมลงศัตรูธรรมชาตินั้นสามารถแสวงหาแมลงอาศัย (host) ได้
และหวังว่าแมลงศัตรูธรรมชาติที่ปล่อยไปนั้นสามารถจะเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้
และสามารถที่จะตั้งรกรากและสถาปนา (establish)
ตัวเองขึ้นมาได้ในสภาพแวดล้อมใหม่
การปลดปล่อยแบบท่วมท้น (Inundative Release) หมายถึง
การที่สามารถเลี้ยงแมลงศัตรูธรรมชาติได้มาก ๆ แล้วจึงปลดปล่อยออกไป
โดยหวังผลว่าแมลงศัตรูธรรมชาติที่ปล่อยไปนั้นจะทำหน้าที่คล้ายยาฆ่าแมลงคือจะไปจัดการหรือปราบแมลงศัตรูพืชให้หมดไปอย่างรวดเร็ว
การแผ่ขยายเพิ่มพูนและอนุรักษ์ (Augmentation & Conservation)
หลังการปลดปล่อยแมลงศัตรูธรรมชาติตามที่ได้กล่าวแล้ว
จะสำเร็จสมความมุ่งหมายหรือไม่
จะขึ้นอยู่กับขอบเขตของงานการควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยชีววิธีอีกแบบหนึ่งคือ
การแผ่ขยายและเพิ่มพูน (augmentation) และการอนุรักษ์ (conservation)
ศัตรูธรรมชาติหลังจากการปล่อยแล้ว
เรามีความจำเป็นที่จะต้องแผ่ขยายเพิ่มพูนและอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติเหล่านี้ให้มีความสามารถในการที่จะดำรงชีวิตให้อยู่ในสภาพนิเวศวิทยาใหม่นี้ได้
และพร้อมกันไปก็มีความจำเป็นที่จะต้องช่วยหาหนทางที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของแมลงศัตรูธรรมชาติเหล่านี้ให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานด้วย
การดำเนินงานในขั้นนี้มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ความรู้ เหตุผล หลักการ
และประสบการณ์ทางนิเวศวิทยาประกอบด้วยเช่น
การที่ศัตรูธรรมชาติจะมีการอยู่รอดในฤดูที่ดินฟ้าอากาศไม่อำนวยอย่างไรบ้าง
และจะมีทางช่วยอนุรักษ์ได้ด้วยวิธีใด หรือถ้าสภาพดินฟ้าอากาศเหมาะสม
มีอาหารอุดมสมบูรณ์
ศัตรูธรรมชาติเหล่านี้จะสามารถรอดพ้นจากการถูกทำลายอันสืบเนื่องมาจากการใช้สารเคมีอย่างมากเกินไปอย่างไรบ้าง
การควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธีที่ดำเนินการมาจะสำเร็จได้มากหรือน้อย
ก็อยู่ในขั้นตอนของการแผ่ขยายเพิ่มพูนและอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติที่ปลดปล่อยไป
ขั้นตอนในการแผ่ขยาย เพิ่มพูน และอนุรักษ์
อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญโดยเฉพาะในกรณีการดำเนินงานควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยชีววิธีแบบที่เกิดเองในธรรมชาติ
เพราะในขั้นตอนการเพิ่มพูนและอนุรักษ์จะช่วยทำให้แมลงศัตรูธรรมชาติที่มีอยู่ในธรรมชาติมีประสิทธิภาพสูงขึ้นในการควบคุมปริมาณของแมลงศัตรูพืช
การเพิ่มพูนและการอนุรักษ์ที่กสิกรชาวไร่สามารถดำเนินการได้
และนับว่าเป็นบุคคลที่สำคัญมากที่จะต้องดำเนินการ
หรืออาจจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า
กสิกรชาวไร่สามารถดำเนินการควบคุมแมลงศัตรูผักโดยชีววิธีแบบเกิดขึ้นเองในธรรมชาติได้
โดยการเพิ่มพูน อนุรักษ์
แมลงศัตรูธรรมชาติที่มีอยู่เดิมให้มากขึ้นเพื่อใช้ควบคุมแมลงศัตรูพืชให้ลดน้อยลง
การดำเนินงานเพื่อการแผ่ขยาย เพิ่มพูน และอนุรักษ์
ปริมาณแมลงศัตรูธรรมชาตินั้นสามารถดำเนินการได้เป็นข้อดังนี้
แนวทางอนุรักษ์แมลงศัตรูธรรมชาติ
1. เพิ่มแหล่งอาศัยให้แมลงศัตรูธรรมชาติ
แมลงศัตรูธรรมชาตินั้นส่วนมากมักมีขนาดเล็กกว่าแมลงศัตรูพืช
ดังนั้นในเวลากลางวันที่มีอากาศร้อน
แมลงศัตรูธรรมชาติต้องอาศัยสภาพที่เหมาะสมอันได้แก่สภาพของต้นพืชเตี้ย ๆ
เพราะในบริเวณที่ใกล้พื้นดินอากาศจะเหมาะสมมากกว่าในระดับสูง
ดังนั้นในสภาพไร่ที่มีวัชพืช
หรือมีพืชล้มลุกปลูกสลับอยู่บ้างจะทำให้แมลงศัตรูธรรมชาติมีที่หลบอาศัย
2. เพิ่มปริมาณอาหารให้แก่ตัวเต็มวัยของแมลงศัตรูธรรมชาติ
แมลงศัตรูธรรมชาติตัวเต็มวัยโดยเฉพาะพวกตัวเบียนนั้น ตัวเต็มวัยจะหากินอิสระ
ตัวเต็มวัยส่วนใหญ่ต้องการน้ำหวานจากดอกไม้ หรือละอองน้ำในอากาศ
การให้น้ำแก่พืชผลในกรณีแห้งแล้ง
จะนับว่ามีส่วนช่วยให้แมลงศัตรูธรรมชาติได้อาหารด้วย
หรือการปล่อยให้พืชที่มีดอกงอกงามอยู่บ้าง เช่น ดอกวัชพืช
ก็จะเป็นแหล่งอาหารของแมลงศัตรูธรรมชาติเช่นกัน
ดังนั้นการปลูกไม้ดอกตามแหล่งการเกษตรจึงนับว่าจะช่วยเพิ่มอาหารให้แมลงศัตรูธรรมชาติได้มาก
3. ช่วยลดอันตรายที่จะเกิดแก่แมลงศัตรูธรรมชาติ
และนับว่าเป็นอันตรายที่ใหญ่หลวงคืออันตรายที่เกิดจากการใช้ยาฆ่าแมลง
เพราะแมลงศัตรูธรรมชาติเมื่อเทียบขนาดกับแมลงศัตรูพืชจะมีขนาดแตกต่างกันมาก
ละอองยาที่แมลงศัตรูพืชได้รับอาจจะไม่ทำให้แมลงศัตรูพืชตาย
แต่ละอองยานั้นจะทำให้แมลงศัตรูธรรมชาติตายได้
เพราะความทนทานต่อยาฆ่าแมลงนั้นมีแตกต่างกันมาก
ดังนั้นในแหล่งที่ทำการเกษตรหวังจะได้รับประโยชน์จากแมลงศัตรูธรรมชาติ
ควรงดหรือลดการใช้ยาฆ่าแมลง ถ้าจำเป็นต้องใช้ควรจะฉีดยาเป็นจุด ๆ
ละเว้นบางแห่งหรือบางแปลงไว้
เพื่อให้แมลงศัตรูธรรมชาติได้ใช้เป็นที่หลบและอาศัย
นอกจากนั้นสภาพไร่ที่อากาศแห้งแล้งมีฝุ่นละอองมาก การให้น้ำแบบฉีดเป็นละอองฝอย
(Springer) จะช่วยลดปริมาณฝุ่นได้มาก เพราะแมลงศัตรูธรรมชาตินั้น
ตัวเต็มวัยหลายชนิดเช่น แตนเบียนไข่ Trichogramma นั้น
มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับละอองฝุ่นก็ไม่แตกต่างกันมากนัก
การลดละอองฝุ่นจะทำให้แมลงชนิดนี้อยู่รอดได้มาก
และน้ำนั้นจะเป็นอาหารที่ดีสำหรับแมลงศัตรูธรรมชาติด้วย
โดยสรุปแล้วการแผ่ขยาย เพิ่มพูน และอนุรักษ์
นับเป็นขั้นตอนที่สำคัญและกสิกรทุกท่านควรจะดำเนินการเพื่อประโยชน์ในการควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยชีววิธีต่อไป
การประเมินผล (Evaluation)
การดำเนินการควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธี จะต้องมีการประเมินผล (Evaluation)
ซึ่งจะเป็นขอบเขตของการดำเนินงานที่สอดแทรกได้ในทุกระยะ
ตั้งแต่การศึกษาเบื้องต้น (Basic study) การนำเข้ามา (Introduction)
การแผ่ขยายและเพิ่มพูน (Augmentation) และการอนุรักษ์ (Conservation)
ในขั้นสุดท้ายของการประเมินผลคอ
การที่จะประเมินค่าหรือผลที่ได้รับจากการดำเนินงาน
ซึ่งอาจจะออกมาในรูปของมูลค่าทางเศรษฐกิจ
หรือโดยความนิยมของนักวิชาการทางด้านนี้คือ
การประเมินผลของแต่ละโครงการที่ได้ดำเนินไปแล้วเกิดผลอย่างไรบ้าง
ซึ่งในการประเมินผลขั้นสุดท้ายนี้ แบ่งลักษณะของโครงการออกเป็นดังนี้
1. โครงการที่สำเร็จโดยสมบูรณ์ (Complete)
2. โครงการที่ได้รับผลอย่างเพียงพอ (Sub-stantial)
3. โครงการที่ได้รับผลบางส่วน (Partial)
โครงการที่จัดว่าได้ผลอย่างสมบูรณ์นั้น
ปัญหาที่เกิดจากศัตรูพืชนั้นจะต้องหมดไปคือ
แมลงศัตรูพืชนั้นไม่สร้างปัญหาทางเศรษฐกิจอีกต่อไป
สำหรับโครงการที่ได้รับผลอย่างเพียงพอ (sub-stantial)
จะต้องสามารถลดปริมาณแมลงศัตรูพืชลงไปได้บางส่วน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่หมด
และถ้าโครงการใดยังดำเนินการได้เพียงทำให้แมลงศัตรูธรรมชาติสามารถตั้งรกรากในแหล่งศัตรูพืชได้ก็จัดว่าได้ผลบางส่วน
(Partial)
|